spread คืออะไร

spread คืออะไร เข้าใจง่าย ๆ สำหรับเทรดเดอร์ทุกคน

spread คืออะไร เข้าใจง่าย ๆ สำหรับเทรดเดอร์ทุกคน

ถ้าให้อธิบายแบบสั้น ๆ เลย spread คือส่วนต่างระหว่างราคาซื้อ (Ask) กับราคาขาย (Bid) ในคู่เงินที่เราเทรด ง่าย ๆ เลย เวลาเราเปิดกราฟดูคู่เงิน เช่น EUR/USD คุณจะเห็นว่ามีสองราคา

  • Bid (ราคาที่โบรกเกอร์ซื้อจากเรา)
  • Ask (ราคาที่โบรกเกอร์ขายให้เรา)

ส่วนต่างระหว่างสองตัวนี้แหละที่เรียกว่า spread

ตัวอย่างเช่น
EUR/USD

  • ราคา Bid = 1.1000
  • ราคา Ask = 1.1002

ส่วนต่าง = 0.0002 หรือ 2 pip นั่นหมายความว่า spread คือ 2 pip นั่นเอง

spread สำคัญยังไงกับการเทรด Forex

ทุกครั้งที่คุณเปิดออเดอร์ ไม่ว่าจะ Buy หรือ Sell คุณจะเริ่มต้นด้วย ขาดทุนเล็ก ๆ ก่อนเสมอ ขาดทุนตรงนี้ไม่ได้เกิดจากกราฟผิดพลาด แต่มาจาก spread นั่นแหละ สมมติคุณเปิด Buy ที่ราคา 1.1002 (Ask) แต่ถ้าคุณจะปิดทันที โบรกเกอร์จะซื้อคืนในราคา 1.1000 (Bid) คุณก็จะขาดทุนทันที 2 pip นี่คือเหตุผลว่าทำไม spread ถึงถือว่าเป็น ต้นทุนแฝง ของการเทรด

spread ย่อมาจากอะไร

คำว่า spread มาจากภาษาอังกฤษว่า การกระจาย หรือ ส่วนต่าง ซึ่งในตลาดการเงินหมายถึง ส่วนต่างของราคา โดยโบรกเกอร์จะตั้ง spread ไว้เพื่อเป็นค่าธรรมเนียมที่ได้จากการให้บริการ พูดง่าย ๆ spread คือรายได้หลักของโบรกเกอร์นั่นเอง

โบรกเกอร์แต่ละแบบมี spread ต่างกันไหม

แน่นอนว่ามีครับ และต่างกันมากด้วย โดยทั่วไป โบรกเกอร์จะมีอยู่ 2 ประเภทหลัก ๆ

  1. โบรกเกอร์แบบ Fixed Spread (คงที่)

เป็นโบรกเกอร์ที่ตั้งค่า spread ตายตัว
เช่น EUR/USD = 2 pip ตลอดเวลา

ข้อดีคือ เรารู้แน่ ๆ ว่าค่า spread จะไม่แกว่ง
แต่ข้อเสียคือ มักจะสูงกว่าตลาดจริง

  1. โบรกเกอร์แบบ Floating Spread (ลอยตัว)

เป็นโบรกเกอร์ที่ spread ขึ้นลงตามสภาพตลาดจริง เวลาตลาดเงียบ เช่นช่วงเอเชีย spread จะบางมาก แค่ 0.5-1 pip แต่พอตลาดผันผวน เช่นตอนมีข่าวแรง ๆ spread อาจขยายไปถึง 5-10 pip ได้เลย โบรกเกอร์ประเภทนี้ จึงเหมาะกับคนที่ชอบเทรดช่วงตลาดนิ่ง

spread มีหน่วยเป็นอะไร

หน่วยของ spread คือ pip
หรือพูดง่าย ๆ ว่า spread 1 pip หมายถึงส่วนต่างราคาที่ห่างกัน 0.0001

ตัวอย่าง
ถ้าคู่เงิน EUR/USD จาก Bid 1.1000 ไป Ask 1.1001 นั่นคือ spread 1 pip

แต่ถ้าเป็นคู่เงินที่มี JPY อย่าง USD/JPY
ทศนิยมจะมีแค่ 2 ตำแหน่ง เช่น 130.00 ถึง 130.01 แปลว่า spread = 1 pip เช่นกัน

spread มีผลกับกำไรขาดทุนยังไง

สมมติคุณเปิดออเดอร์ Buy เมื่อราคาวิ่งขึ้น คุณจะเริ่มได้กำไร แต่ราคาต้องวิ่งขึ้นให้เกินค่า spread ก่อน
ถึงจะ เริ่มมีกำไรจริง

ตัวอย่าง
spread = 2 pip
คุณ Buy ที่ 1.1002
ราคาต้องขึ้นไปถึง 1.1004
คุณถึงจะเริ่มไม่ติดลบ

ถ้าราคาไปถึง 1.1006
คุณก็ได้กำไร 2 pip

จะเห็นว่าค่า spread ส่งผลต่อทุกดีลที่คุณเปิด

spread กว้าง กับ spread แคบ ต่างกันยังไง

  • spread แคบ (ต่ำ) เหมาะกับเทรดเดอร์ที่เปิดปิดบ่อย เช่น Scalper หรือ Day Trader เพราะต้นทุนต่อดีลต่ำ กำไรเร็ว
  • spread กว้าง (สูง) เหมาะกับเทรดเดอร์สายยาว (Swing หรือ Position) เพราะไม่ได้เปิดบ่อย การมี spread สูงเล็กน้อยไม่กระทบมาก

พูดง่าย ๆ ถ้าคุณเทรดเร็ว ๆ ทุกวินาทีมีค่า spread ต่ำ คือสิ่งที่คุณต้องการ

ทำไม spread ถึงเปลี่ยนแปลงได้

หลายคนสงสัยว่าทำไมช่วงตลาดบางเวลา spread ถึงกว้างกว่าปกติ จริง ๆ แล้วมันเกิดจาก สภาพคล่องของตลาด ช่วงที่มีคนเทรดเยอะ เช่น ตลาดลอนดอน หรืออเมริกาเปิด spread จะบาง เพราะมีคนซื้อขายมาก แต่ช่วงที่ตลาดเงียบ เช่น ตอนตี 2-3 หรือก่อนข่าวแรง ๆ โบรกเกอร์จะขยาย spread เพื่อป้องกันความเสี่ยงของตัวเอง

วิธีดู spread บนโปรแกรมเทรด

ถ้าใช้โปรแกรม MetaTrader 4 (MT4) หรือ MT5 สามารถดู spread ได้จากช่อง Market Watch ราคาจะมีสองช่องคือ Bid และ Ask ลองเอา Ask ลบด้วย Bid คุณก็จะได้ค่า spread หรือบางโบรกเกอร์จะมีแสดงค่า spread เป็นตัวเลขเล็ก ๆ ข้างคู่เงินเลย สะดวกมาก

spread มีผลกับกลยุทธ์เทรดยังไง

พูดให้เข้าใจง่าย ๆ กลยุทธ์ของคุณจะดีแค่ไหน ถ้าเจอ spread สูงก็อาจไม่รอด

ตัวอย่างเช่น
กลยุทธ์ Scalping ที่เน้นเก็บกำไร 5-10 pip แต่ถ้า spread 3 pip แปลว่าคุณต้องให้ราคาวิ่งไปถึง 13 pip ถึงจะได้กำไรจริงตรงข้าม ถ้า spread แค่ 0.3 pip โอกาสชนะของคุณจะเพิ่มขึ้นเยอะเลย

ความสัมพันธ์ระหว่าง spread กับข่าวแรง (High Impact News)

ตอนมีข่าวแรง ๆ เช่น ตัวเลขเศรษฐกิจ หรือประกาศอัตราดอกเบี้ย spread มักจะขยายขึ้นทันที เพราะโบรกเกอร์ต้องรับความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวรุนแรง บางครั้ง spread อาจพุ่งจาก 0.5 pip ไปถึง 20 pip ในไม่กี่วินาที ดังนั้น มือใหม่ควรหลีกเลี่ยงการเทรดช่วงข่าว เพราะต่อให้คุณวิเคราะห์ถูก ราคาวิ่งถูกทาง แต่ spread ที่กว้างอาจทำให้คุณ ติดลบตั้งแต่เริ่ม

วิธีลดผลกระทบจาก spread

  1. เลือกโบรกเกอร์ที่มีชื่อเสียงและ spread ต่ำ โบรกเกอร์ดีจะมีค่าธรรมเนียมโปร่งใส และไม่โก่ง spread
  2. เทรดช่วงตลาดหลักเปิดพร้อมกัน อย่างช่วงลอนดอนกับนิวยอร์ก เพราะ liquidity เยอะ spread แคบ
  3. ใช้บัญชี ECN ถ้ามีทุนพอ บัญชี ECN ให้ spread ต่ำสุดแต่มีค่าคอมมิชชันแทน รวมแล้วถูกกว่าบัญชีธรรมดาในระยะยาว

spread กับคอมมิชชันต่างกันยังไง

  • spread คือส่วนต่างราคา Bid กับ Ask
  • คอมมิชชัน (Commission) คือค่าธรรมเนียมที่โบรกเกอร์เก็บเพิ่มเติม

บางบัญชีไม่มีคอมมิชชันแต่ spread สูง บางบัญชี spread ต่ำแต่มีคอมมิชชันเล็กน้อย โดยทั่วไป บัญชีที่มี spread ต่ำบวกคอมมิชชันมักคุ้มค่ากว่าในระยะยาว

ตัวอย่างเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายจาก spread

ประเภทบัญชี Spread เฉลี่ย คอมมิชชัน ต้นทุนรวมต่อดีล (1 lot)
Standard 1.5 pip ไม่มี ประมาณ $15
ECN 0.1 pip $7 ประมาณ $8

จะเห็นว่าบัญชี ECN มีต้นทุนถูกกว่า แม้จะมีค่าคอม เพราะ spread ต่ำมาก

spread ต่ำไม่ได้แปลว่าดีเสมอไป

บางโบรกเกอร์โฆษณา spread ต่ำมาก เช่น 0.0 pip แต่จริง ๆ แล้วอาจมี ค่าธรรมเนียมแอบแฝง เช่น ค่าสวอปสูง หรือ slippage เยอะ ดังนั้น อย่าดูแค่ spread ควรดูคุณภาพการส่งคำสั่ง ความเสถียรของระบบ และรีวิวจากเทรดเดอร์จริงประกอบ

สรุป ว่า spread คืออะไร และทำไมต้องใส่ใจ

สรุปง่าย ๆ spread คือค่าธรรมเนียมแฝงของการเทรด Forex มันคือส่วนต่างระหว่างราคาซื้อ และราคาขายที่โบรกเกอร์ตั้งไว้ ยิ่ง spread ต่ำ คุณก็ยิ่งได้เปรียบ เพราะต้นทุนการเทรดลดลง กำไรที่เหลือก็เพิ่มขึ้น การรู้จักและเข้าใจ spread คือพื้นฐานสำคัญ ไม่ต่างจากการรู้ราคาน้ำมันก่อนขับรถออกทางไกล

 

บทความอื่นๆ

หุ้นไทยเบื้องต้น

หุ้นไทยเบื้องต้น คู่มือเริ่มต้นลงทุนสำหรับคนอยากรวยอย่างมั่นคง

หุ้นไทยเบื้องต้น คู่มือเริ่มต้นลงทุนสำหรับคนอยากรวยอย่างมั่นคง ตลาดหุ้นไทยไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เพราะทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่ายมาก ผ่านโ

อ่านต่อ »
หุ้นสำหรับมือใหม่

หุ้นสำหรับมือใหม่ จุดเริ่มต้นของโลกการลงทุน

หุ้นสำหรับมือใหม่ จุดเริ่มต้นของโลกการลงทุน ถ้าพูดคำว่าหุ้น หลายคนอาจนึกถึงภาพคนถือโทรศัพท์กดซื้อขายทั้งวัน หรือหน้าจอที่เต็มไปด้วยตัวเลขสีแ

อ่านต่อ »
เรียนรู้หุ้น

เรียนรู้หุ้น จากศูนย์เริ่มยังไงให้เข้าใจเร็ว

เรียนรู้หุ้น จากศูนย์เริ่มยังไงให้เข้าใจเร็ว คำว่า หุ้น อาจฟังดูซับซ้อนสำหรับคนที่ไม่เคยลงทุนมาก่อน แต่จริง ๆ แล้วการ เรียนรู้หุ้น ไม่ได้ยาก

อ่านต่อ »