หลายคนเวลาเห็นข่าวหุ้นดัง ๆ อย่าง Apple, Tesla, Microsoft หรือหุ้นเทคโนโลยีในอเมริกา มักจะเกิดคำถามในหัวว่า ซื้อหุ้นต่างประเทศยังไง ต้องบินไปเปิดบัญชี ถึงต่างประเทศไหม หรือต้องมีเงินเป็นล้านถึงจะเริ่มได้ บอกเลยว่ายุคนี้ไม่ต้องแล้ว เพราะจากไทยก็ลงทุนได้ แถมเริ่มด้วยเงินหลักพันก็ยังทำได้
วันนี้ เรามาไล่ตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน ไปจนถึงเทคนิคเจาะลึก ว่า ซื้อหุ้นต่างประเทศยังไง ให้ปลอดภัย เข้าใจง่าย และมีโอกาสทำกำไรได้มากขึ้น
ทำไมต้องสนใจ หุ้นต่างประเทศ
ก่อนจะไปดูว่า ซื้อหุ้นต่างประเทศยังไง ลองมารู้จักข้อดี ของการลงทุนต่างประเทศกันก่อน
- เข้าถึงบริษัทระดับโลก เช่น Google, Amazon, Nvidia ที่บางทีไม่มีในตลาดหุ้นไทย
- กระจายความเสี่ยง เพราะเศรษฐกิจไทยอาจไม่ได้โตทุกปี แต่ตลาดอื่น ๆ อาจกำลังพุ่ง
- โอกาสเติบโตสูง หุ้นเทคโนโลยีบางตัวโตปีละ 20-30% ซึ่งหาได้ยากในตลาดไทย
- ได้ลงทุนในอุตสาหกรรมล้ำสมัย เช่น AI, รถยนต์ไฟฟ้า, พลังงานสะอาด
ซื้อหุ้นต่างประเทศยังไง – ขั้นตอนเริ่มต้น
จริง ๆ แล้วมีอยู่ 2 วิธีหลัก ๆ
1. เปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ต่างประเทศโดยตรง
เหมาะกับคนที่อ่านภาษาอังกฤษได้ดี และไม่ติดเรื่องการโอนเงินเป็นสกุลต่างประเทศ
- โบรกเกอร์ยอดนิยม: Interactive Brokers, TD Ameritrade, eToro
- ข้อดี: ค่าธรรมเนียมถูก, หุ้นให้เลือกเยอะมาก
- ข้อเสีย: ต้องจัดการเรื่องภาษีและโอนเงินข้ามประเทศเอง
2. เปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ในไทยที่มีบริการหุ้นต่างประเทศ
เหมาะกับมือใหม่ ที่อยากได้ความสะดวก และการซัพพอร์ตภาษาไทย
- ตัวอย่าง: SCB, KBank, Phillip, InnovestX, Finnomena
- ข้อดี: ใช้งานง่าย, ฝาก-ถอนเป็นเงินบาทได้
- ข้อเสีย: ค่าธรรมเนียมอาจสูงกว่าโบรกเกอร์ต่างประเทศ
ใช้เอกสาร และการเปิดพอร์ต อย่างไร
ถ้าสงสัยว่า ซื้อหุ้นต่างประเทศยังไง ในส่วนของเอกสาร บอกเลยว่า ง่ายกว่าที่คิด
- บัตรประชาชน
- สมุดบัญชีธนาคาร
- อีเมล และเบอร์โทรศัพท์
- ทำ e-KYC ผ่านแอป (ถ่ายรูปบัตร + เซลฟี่)
เวลาเปิดพอร์ต บางโบรกเกอร์อนุมัติใน 1 วัน บางเจ้าก็ 3-5 วัน ขึ้นอยู่กับขั้นตอนตรวจสอบ
การโอนเงิน เพื่อไปลงทุน
หลังจากพอร์ตพร้อม คำถามต่อมาคือ ซื้อหุ้นต่างประเทศยังไง ให้โอนเงินไปได้เร็ว และคุ้มค่า
- ถ้าเป็นโบรกเกอร์ไทย → โอนเงินบาท โบรกเกอร์จะแปลงเป็นสกุลเงินปลายทางให้
- ถ้าเป็นโบรกเกอร์ต่างประเทศ → ต้องโอนเงินเป็น USD หรือสกุลที่ใช้ซื้อขายในตลาดนั้น
ทิป: เลือกโอนในวันที่ค่าเงินบาทแข็ง เพื่อให้ได้จำนวนเงินปลายทางเยอะขึ้น
เลือกหุ้นที่จะลงทุน อย่างไร
การรู้ ซื้อหุ้นต่างประเทศยังไง ไม่ได้จบแค่การโอนเงิน แต่ต้องเลือกหุ้นให้ถูกด้วย
- หุ้นเทคโนโลยี: Apple (AAPL), Microsoft (MSFT), Nvidia (NVDA)
- หุ้นรถยนต์ไฟฟ้า: Tesla (TSLA), BYD
- หุ้นสุขภาพ: Johnson & Johnson (JNJ), Pfizer (PFE)
- หุ้นสินค้าบริโภค: Coca-Cola (KO), Procter & Gamble (PG)
เทคนิคสำหรับมือใหม่
ถ้าอยากลงทุนแบบไม่ปวดหัว ลองทำตามนี้
- เริ่มจากหุ้นที่รู้จักอยู่แล้ว
- ดูงบการเงินย้อนหลัง 3-5 ปี ว่ากำไรเติบโตหรือไม่
- กระจายการลงทุนอย่างน้อย 4-6 ตัว
- ตั้ง Stop Loss เพื่อจำกัดการขาดทุน
ใช้ ETF แทนการซื้อหุ้นเดี่ยว
สำหรับคนที่ยังไม่มั่นใจว่า หุ้นตัวไหนดี ลองใช้ ETF
- SPY: ลงทุนใน S&P 500
- QQQ: เน้นหุ้นเทคโนโลยี NASDAQ
- VOO: S&P 500 ค่าธรรมเนียมต่ำ
ETF จะช่วยกระจายความเสี่ยง และทำให้เราไม่ต้องเลือกหุ้นเองทีละตัว
ตัวอย่างการลงทุนจริง
เริ่มต้นด้วยเงิน 30,000 บาท ซื้อหุ้น Apple 50% และ ETF QQQ 50% ผ่านโบรกเกอร์ไทย
- ปีแรก หุ้น Apple โต 18%
- QQQ โต 12%
- รวมแล้วกำไรเฉลี่ย 15% หรือประมาณ 4,500 บาท
แม้จะไม่ใช่ตัวเลขที่มาก แต่ก็เห็นชัดว่า การลงทุนต่างประเทศมีศักยภาพ
มีข้อดี-ข้อเสีย อย่างไร
ข้อดี
- เข้าถึงหุ้นระดับโลก
- กระจายความเสี่ยง
- โอกาสทำกำไรสูง
ข้อเสีย
- เสี่ยงค่าเงิน
- เวลาซื้อขายต่างจากไทย
- ต้องตามข่าวต่างประเทศมากขึ้น
เทคนิคขั้นสูง
- ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ เช่น TradingView, Yahoo Finance
- ติดตามงบการเงินรายไตรมาส
- ศึกษาข่าวเศรษฐกิจโลก และอุตสาหกรรมที่สนใจ
- วางแผนลงทุนระยะยาว 3-5 ปี
สรุป การเลือกลงทุน ที่รู้เป้าหมาย
การซื้อหุ้นต่างประเทศ เริ่มจากการรู้เป้าหมาย เลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสม เปิดบัญชี โอนเงิน เลือกหุ้น และซื้อขายอย่างมีวินัย พร้อมบริหารความเสี่ยง และเข้าใจภาษีให้ครบถ้วน


